การปฏิเสธเคมีบำบัด
โรคมะเร็ง เหตุผลที่คนปฏิเสธเคมีบำบัด
ผมมีโอกาสได้ศึกษาข้อคิดเห็นของ นายแพทย์สมสินธุ์ ฉายวิจิตร แพทย์ประจำคลินิกชื่อดังแห่งหนึ่งของเมืองไทย ท่านอธิบายถึงข้อดีข้อเสียของวิธีรักษาโรคมะเร็งด้วยเคมีบำบัด (คีโม) พร้อมทางเลือกแบบธรรมชาติบำบัดเพื่อให้ผู้ป่วยมีทางเลือกที่จะมีอาการดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยาอันตราย
โรคมะเร็ง เหตุผลที่คนปฏิเสธเคมีบำบัด
ผมมีโอกาสได้ศึกษาข้อคิดเห็นของ นายแพทย์สมสินธุ์ ฉายวิจิตร แพทย์ประจำคลินิกชื่อดังแห่งหนึ่งของเมืองไทย ท่านอธิบายถึงข้อดีข้อเสียของวิธีรักษาโรคมะเร็งด้วยเคมีบำบัด (คีโม) พร้อมทางเลือกแบบธรรมชาติบำบัดเพื่อให้ผู้ป่วยมีทางเลือกที่จะมีอาการดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยาอันตราย
โรคมะเร็ง ตัวการร้ายที่ทำให้ต้องเลือก
ก่อนจะเข้าเรื่องการรักษาโรคมะเร็ง คุณหมอสมสินธุ์ อธิบายกลไกการเกิดเนื้อรายในร่างกายว่า“ โรคมะเร็ง คือ การที่เซลล์ (กลายพันธุ์) แบ่งตัวไม่หยุดยั้งจนกลายเป็นเนื้องอกขึ้นมา เชื่อว่าในวงจรชีวิตของคนตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 70 ปี ร่างกายจะมีการแบ่งเซลล์ที่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็ง 6-8 รอบ ซึ่งในแต่ละรอบของการแบ่งเซลล์นี้ ระบบภูมิคุ้มกัน ในร่างกายจะเป็นตัวกดและควบคุมไม่ให้มีการแบ่งเซลล์ที่ผิดปกติ แต่ถ้าในช่วงนั้นภูมิคุ้มกันแข็งแรงไม่พอ จะทำให้ไม่มีตัวควบคุม จึงทำให้เกิดการแบ่งตัวเป็นเซลล์มะเร็งขึ้นมาได้”
วิธีรักษาโรคมะเร็ง เจาะลึกปฏิบัติการเคมีบำบัดระดับเซลล์
วิธีรักษาโรคมะเร็งต้องทำอย่างไร มีประสิทธิภาพแค่ไหน คุณหมอสมสินธุ์อธิบายว่า หลักการรักษาคือ
หนึ่ง ผ่าตัด
สอง ให้เคมีบำบัดหรือคีโม
สาม การฉายแสง
ซึ่งจะขอเน้นการรักษาแบบที่สองคือเคมีบำบัด
และโดยทั่วไปเคมีบำบัดจะเข้าไปทางเส้นเลือด (บางชนิดเป็นเม็ดใช้กิน) เพื่อไปทำลายเซลล์มะเร็งตัวแก่ที่กระจายอยู่ในเลือดและน้ำเหลือง รวมถึงผิวของเนื้องอก แต่จะไม่เข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งตัวอ่อนที่อยู่ข้างในอวัยวะนั้นๆ
ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพ เช่น หากเป็นมะเร็งรังไข่ระยะที่ 2 ขึ้นไป การรักษาต้องทำโดยการผ่าตัดเพื่อเอาเซลล์มะเร็งตัวอ่อนที่อยู่ในรังไข่ออกให้หมด แต่ไม่มีคุณหมอคนไหนสามารถรู้ได้เลยว่ามีเซลล์มะเร็งตัวแก่กระจายออกไปจากรังไข่แล้วหรือยัง จึงจำเป็นต้องใช้ยาคีโมเพื่อไปค้นหาและทำลายเซลล์มะเร็งตัวแก่ที่อยู่ในกระแสเลือดหรือน้ำเหลืองให้หมด
แต่อย่างไรก็ตาม ยาคีโมมิได้ทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็งตัวแก่เท่านั้น แต่มันไปทำลายเซลล์ดีๆที่เป็นปกติด้วย โดยเฉพาะเซลล์ในกลุ่มโปรตีนเคอราติน (Keratin) ซึ่งเป็นเซลล์ที่พบมากในรากผม ดังนั้นเวลาให้คีโมผมจึงร่วง
เซลล์มะเร็งชอบเล่นซ่อนหา + ทำลายระบบภูมิคุ้มกันแม้การรักษานี้จะสามารถทำลายเซลล์มะเร็งตัวแก่ได้อย่างราบคาบ (รวมถึงเซลล์ปกติด้วย) แต่ผู้ป่วยบางคนก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
คุณหมอสมสินธุ์อธิบายว่า เคมีบำบัดจะทำลายเซลล์มะเร็งตัวแก่ แต่จะไม่เข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งตัวอ่อน
ซึ่งอาจกำลังหลบตัวหรือแบ่งตัวอยู่ใจกลางอวัยวะนั้นๆ ดังนั้นผู้ป่วยจึงมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีก นอกจากนั้นผลข้างเคียงที่สำคัญของเคมีบำบัดคือ ทำลายไขกระดูกและต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นการทำลายระบบภูมิคุ้มกันของเรา คนไข้บางรายจึงฟื้นตัวยากและติดเชื้อง่าย
มีตัวช่วยอื่นไหม ถ้าไม่รับคีโม?
คุณหมอสมสินธุ์ยืนยันประโยชน์ของวิธีกำจัดเซลล์มะเร็งด้วยยาแบบนี้ในบางกรณี และแนะนำตัวช่วยอื่น ดังนี้
คีโมมีส่วนช่วยในการรักษาโรคมะเร็งเหมือนกัน แต่จะเป็นเซลล์มะเร็งตัวแก่ที่กระจายในกระแสเลือดเท่านั้น สำหรับคนไข้ที่ยังไม่อยากใช้คีโม คุณหมอจะแนะนำให้ใช้วิธีการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อช่วยเก็บกินเซลล์ตัวแก่และเซลล์ตัวอ่อนมะเร็ง ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกันกับวิธีใช้โภชนาการบำบัดของศูนย์ธรรมชาติบำบัดซีเกรน
ปกติระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์จะแบ่งเป็นระบบใหญ่ๆ 2 ส่วน คือ B Cell ซึ่งสร้างจากไขกระดูก และ T Cell ซึ่งสร้างจากต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย ทั้ง B Cell และ T Cell เป็นระบบที่สามารถช่วยเก็บกินเซลล์มะเร็งทั้งตัวแก่และตัวอ่อนได้ ไม่ว่ามะเร็งจะกระจายอยู่ส่วนไหนของร่างกาย ซึ่งคีโมทำไม่ได้
จะเห็นว่าทั้ง B Cell และ T Cell คือพระเอกขี่ม้าขาวที่จะเข้ามาช่วยยามเกิดวิกฤติสุขภาพ และการปลุกพระเอกดังกล่าวคุณ
หมอสมสินธุ์ แนะนำว่า เราสามาร สร้างภูมิคุ้มกันได้ด้วยตัวเราเองเท่านั้น คือการปรับสมดุลอาหาร การออกกำลังกายเพื่อให้ Growth Hormone และ Endorphines หลั่ง ซึ่งเป็นการล้าง Toxin ออกจากร่างกาย รวมทั้งการเสริมวิตามินในกรณีที่ร่างกายอ่อนแอ เพื่อให้ร่างกายมีพลังในการกำจัดเซลล์แปลกปลอม
การสร้างภูมิคุ้มกันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิชีวิตย่อมดีต่อสุขภาพ ทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมให้ร่างกายก่อนเข้ารับการรักษา และยังเป็นทางเลือกเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งด้วยตัวเอง
